จากรูปที่เลือกมาจั่วหัว Topic นี้เป็นรูปที่เห็น Curve หน้าผากเม้าล้วนๆค่ะ ซึ่งเวลาถ่ายรูปถามว่ามุมไหนที่เม้าซ์ชอบที่สุด มั่นใจที่สุด ไม่ใช่มุม 45 องศานะคะ มุมตรงเห็นหน้าก็ไม่ใช่ แต่มันคือ "มุมข้าง" ประมาณว่า เห็นหน้าแล้วความสวยลดลง 50% ฮ่าๆ ซึ่ง Topic นี้เม้าจะมาขอแชร์ประสบการณ์โดยละเอียดสำหรับสาวๆที่อยากมีหน้าผากCurve สวยรับกับหน้าด้วยกันค่ะ
ว่าด้วยเรื่อง "หน้าผากโหนกนูน" เชื่อว่า เป็นที่ต้องการ ของสาวๆค่ะ
ถ้าเพื่อนๆที่เคยมีประสบการณ์เข้ามาปรึกษาเม้าซ์ทาง Line หรือ ติดตามใน IG
น่าจะเคยผ่านตา เม้าซ์จะส่งสิ่งที่เม้าเคยเขียนไปให้อ่าน เพื่อ "ไม่ให้ฉีด"
ย่อๆ นั่นคือ "ถ้ามีปัญหาหน้าผากแบน ต้องการให้นูน ไม่ควร *ฉีดฟิลเลอร์เพื่อให้นูน ถ้าจะทำ
ก็เอาวิธีที่ชัวส์สุด คือ เติมไขมันตัวเอง ไม่ก็ผ่าตัดซิลิโคน"
*** จำได้ไหมเอ่ย ใครเคยอ่านบ้าง แต่ทั้ง2วิธีที่ชัวส์นั้น ก็น้อยคนนักจะเอื้อมถึง ทั้งค่าใช้จ่ายที่สูง
ความน่าสะพรึงที่ไม่อยากคิดภาพ ความยุ่งยาก ไหนจะหาหมอทำยากอีก
เม้าซ์เลยหาทางออกให้ในสิ่งที่เม้าเคยห้ามค่ะ งงใช่ไหมเอ่ย ?
เคยห้ามแต่กลับมาแนะนำให้เอง ติดตามอ่านให้จบนะคะ
เนื่องด้วยปัญหาที่สาวไทยหลายคนมาก วนเวียนมาปรึกษาปัญหานี้ และเป็นปัญหาที่มีผลมากๆ
กับคนหน้าผากแบน ทั้งดูแก่ * โหงวเฮ้งไม่ดี * เพราะหน้าผากเป็นจุดที่บ่งบอกถึง
โหงวเฮ้งบนหน้าแต่ละคน ซึ่งบางคนอาจจะไม่ถือ #เม้าเองก็ไม่ถือค่ะ ไม่รู้เรื่องและไม่วิตกกับเรื่อง
โหงวเฮ้งเท่าไหร่ แต่สำหรับเม้า โหงวเฮ้งจะดีก็ต่อเมื่อหน้าตาเราดูดีขึ้น อะไรดีๆ ก็จะดีตาม
แค่นั้นเองค่ะ เพราะไม่มีค. รู้ด้านนั้น ซึ่งใครที่เคยปรึกษาเม้ามาโดยตรง เชื่อว่า "ไม่มีใครได้ทำ"
เพราะการใส่ไขมันตัวเองและ การผ่าตัดซิลิโคนก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำง่ายๆ ไหนจะหาหมอเก่งๆทำยากอีก ค่าใช้จ่ายที่จะเป็นลมอีก #ทางเลือกด้วยการเติมฟิลเลอร์เลยดูง่ายที่สุดแต่ก็เป็นสิ่งที่เม้าห่วงสาวๆมากที่สุด ซึ่งตอนนี้มีทางออก ท๊าดา ~า ฮ่าๆ
ด้วยประสบการณ์โดยตรงนี้ขอให้สาวๆ เสพย์ข้อมูลกันเต็มที่นะคะ จะพยายามเขียนให้เข้าใจง่าย
สงสัยตรงไหน หลังไมค์นะคะ จะเขียนให้เข้าใจง่ายที่สุด ใช้วิจารณญานกันตามสะดวกเลยค่ะ
เพราะโปรแกรมนี้ บอกเลยค่ะว่า #ไม่ธรรมดาเลย แล้วเพื่อนๆจะรู้ว่า #ทำไมต้องให้หมอจักษุโดยเฉพาะทางทำ ซึ่งที่นี่มีแพทย์ที่เป็นหมอเฉพาะทาง และเป็นหมอจักษุโดยเฉพาะค่ะ รวมถึงเป็นหมอที่สอนฉีดฟิลเลอร์หน้าผากของไทยคนนึง
ก่อนที่จะทำระหว่างนั้นเม้าก็พูดคุยกับคุณหมอท่านอื่นในคลินิกค่ะซึ่งทุกคนพูดแค่ว่า "เม้าจะทำทำไม?" เพราะทุกคนเห็นว่าหน้าผากเม้าโหนกนูนรับกับรูปหน้าอยู่แล้วแต่สิ่งที่เม้าต้องการคือ"ต้องการเติมเต็มค่ะ"ซึ่งเดี๋ยวรออ่านต่อนะคะ ว่ายังไง ตอนนั้นเม้าก็คิดแค่ว่า "เติมเต็มนิดนึงพอ" และการแชร์ประสบการณ์นี้ ไม่ได้มีการว่าจ้างใดๆนะคะ เม้าซ์เขียนขึ้นด้วยตัวเองเพื่อให้ข้อมูลเผื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่สนใจค่ะ เพราะฉะนั้นเม้าซ์จะไม่ลงชื่อคลินิกนะคะ เพื่อไม่ให้เป็นการโฆษณาค่ะ หากเพื่อนๆ คนไหนสนใจ เม้าซ์ขออนุญาตให้มาสอบถามหลังไมค์เองละกันนะคะ
เรามาดูกันค่ะว่าการเติมหน้าผากมีเติมแบบไหนบ้าง
เ ติ ม เต็ ม ปกติหน้าผากผู้หญิงไทยจะไม่เต็มค่ะ ไม่เรียบเสมอกันมีส่วนเว้าหายเล็กๆน้อยๆ ลองส่องกระจกค่ะ จะมีน้อยคนที่เรียบเต็มเสมอกัน ซึ่งดาราส่วนมากก็ต้องทำการเติมเต็ม เพราะมีผลมาก แม้จะมองไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง อาจจะเว้า อาจจะเห็นโครงกระดูกบ้าง หรืออะไรก็แล้วแต่จะไม่เต็มซะส่วนใหญ่ ซึ่งตรงนี้มีผลมากๆ แม้จะมองไม่เห็นชัดเจน จะทำให้แก่กว่าคนที่หน้าผาก ขมับเต็ม และโหงวเฮ้งดี อีกทั้งยังดูหน้าตาโดยรวมเด่นขึ้นค่ะ โดยที่เราอาจจะไม่ทันสังเกต ดูแล้วสดใส สุขภาพดี สรุปว่า มันดีกว่าคนที่หน้าผากไม่เต็ม #ซึ่งเม้าทำแบบนี้ค่ะ
เ ติ ม ใ ห้ นู น ปกติหน้าผากผู้ญ ไทยหลายคนก็จะมีปัญหาหน้าผากแบนค่ะ และฝันอยากจะมีหน้าผากอวบ นูน มองด้านข้างแล้วนูนสวย ซึ่งอันนี้เม้าโชคดีหน่อยที่มีอยู่แล้ว แต่หลายคนที่ยังไม่มีก็จะสรรหาวิธีเพื่อให้นูนเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดทันทีหลังทำ มีผลมากๆตามวิธีเติมเต็มค่ะ และจะเห็นการเปลี่ยนแปลงชัดเจนมากๆค่ะ
พอดูออกไหมคะว่าเพื่อนๆ ต้องทำแบบไหน ?
ต่อไปเม้าจะเริ่มเล่าขั้นตอนการทำแทรกไปด้วยค่ะ แต่จะไม่เล่าเป็นข้อๆนะคะ จะเล่าเหมือนเขียนเล่าเรื่องเลยหลังจากที่เม้าเข้าไปคลินิกทุกคนก็เพียงแต่ออกค.เห็นว่า"เม้าต้องทำอีกหรอมันนูนแล้ว หน้าผากสวยแล้ว" เม้าก็ยืนยันแค่ว่า "จะเติมเต็มนิดหน่อย" แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเจออะไร 55+ ติดตามต่อดีๆ นะคะ ก่อนจะเริ่มทำ อย่างแรกค่ะ แปะยาชา ที่หน้าผากแปะเสร็จเม้าก็ไปเดินเล่นค่ะ เดินทั่วห้าง คนก็จิ้มๆชี้ๆ ตัวอะไร มันทำอะไรของมัน 555+ ตอนแรกก็งง แค่จิ้มฟิลหน้าผากทำไมต้องแปะยาชา ปกติเป็นคนไม่กลัวเข็มค่ะ สดทุกอย่างอาจจะด้วยความเคยชิน แต่หมอบอกแปะไปเถอะก็เลยแปะตามที่หมอบอกค่ะ ปรากฎว่า พอได้เข้าไปที่ห้องปุ้ป "เป็นห้องปลอดเชื้อค่ะ" เริ่มงง ทำไมเครื่องไม้เครื่องมือมันเยอะแยะเลย หมอก็เริ่มอธิบายว่า ฟิลเลอร์ที่เราใช้กับหน้าผาก ต้องเป็นตัวนี้ เม้าใช้ Perfectha ค่ะ ซึ่งถือว่าได้รับการยอมรับเป็นสากล และใช่ว่าใช้ตัวเดียวกันได้นะ ต้องใช้ตัว Subskin โดยเฉพาะ ซึ่งไม่ได้ใช้ได้กับทุกส่วนบนหน้า มีความปลอดภัย100% เพราะเป็นไฮย่า (สลายได้ตามอายุของมันค่ะและที่นี่ตัวยาของแท้ 100% ซึ่งรายละเอียดตรงนี้คนที่ไม่ได้สนใจศึกษาด้านนี้โดยตรงอาจจะงงนะคะ แต่ส่วนตัวเม้าทราบข้อมูลดีเรื่องฟิลเลอร์ เพราะคลุกคลีอยู่แต่กับเรื่องนี้ เลยไม่งงค่ะ ซึ่งจริงๆฟิลเลอเลอร์ยี่ห้อนึงนั้นจะแยกออกเป็นอีกหลายรุ่นค่ะ แต่ละรุ่นก็จะแยกใช้ตามหน้าที่ของมันที่แตกต่างกันออกไป (ตรงนี้เราไม่ต้องซีเรียสนะคะ รู้เท่าที่เม้าบอกก็พอค่ะเพราะเราจะมาพูดถึงการฉีดหน้าผาก) และตอนแกะกล่องจะแกะให้ลค. เห็นเลยตรงนั้น ให้ลค.เชคได้เลย เพราะบางที่หัวหมอ* เอากล่องมาวางให้ลค. ตายใจแต่ไม่ได้ใช้จริงค่ะ เชคกันดีๆ นะคะ ถึงตอนขึ้นมานอนเตียง ซึ่งเราก็ตกใจว่าทำไมดูพิธีการเยอะ หมอก็อธิบายต่อเรื่องตัวฟิลเลอร์ที่จะใช้ฉีดนี้ให้ฟังค่ะ ว่าด้านในจะเป็นแบบนี้ เรา ต้องใช้เข็มปลายทู่โดยเฉพาะ เพราะปลอดภัย (เรียกว่า แคน - นู- ล่า) และจักษุแพทย์เป็นคนทำหัตถการ การใช้เข็มปลายแหลม จะอันตรายมากๆถ้าพลาดอาจจะทำให้โดนเส้นเลือดแล้วตาบอดได้เลยนะคะ และไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยค่ะ มีหลายคลินิกแล้วแต่ปิดข่าว เพราะแพทย์ไม่ชำนาญพอค่ะ แบบนี้ถึงไม่ค่อยมีแพทย์ที่จะฉีดฟิลหน้าผากค่ะ เพราะถือว่าต้องใช้ความชำนาญอย่างมาก เพราะบริเวณหน้าผากเส้นประสาทและเส้นเลือดเยอะมากๆ อันตรายมากๆ เราต้องเลี่ยงให้ดี (หมอที่นี่เป็นหมอจักษุเลยค่ะสบายใจแทบไม่มีโอกาสที่จะพลาดได้ค่ะ) การฉีดต้องใช้วิธีสอดเข็มไปใต้ผิวหนังเพื่อเลี่ยงเส้นเลือด {ถ้าหมอมาอ่านข้อมูลเพี้ยนขอโทษนะคะ พอดีตอนนั้นเกร็งมาก จำมาได้แค่นี้ค่ะ ฮ่าๆ } แต่เอาเป็นว่า ฟังแล้ว รู้แค่ว่า "มันน่ากลัวมาก และไม่ได้ง่ายอย่างที่เราคิด แค่ว่า จิ้มๆ แปปๆ แล้วก็รู้แล้วว่า ทำไมต้องให้หมอจักษุทำถึงดีกว่า มันไม่ธรรมดาจริงๆค่ะ"
ฟิลเลอร์ที่คุณหมอใช้ คือ Perfectha Subskin ค่ะลักษณะปลายเข็มจะทู่เรียกว่า "แคน นู ล่า" ค่ะ |
มาถึงขั้นตอน ตอนจิ้มเข็ม แล้วนะคะ ลุ้นกันเมื่อไหร่จะเริ่มสักทีใช่ไหมเอ่ย
(ตอนนี้เม้านอนบีบมืออย่างเดียวค่ะ แล้วพูดแค่ว่า "นึกว่าผ่าตัดอยู่ " ฮ่าๆ ) ตื่นเต้นมากๆ
หมอก็ประเมินเคสเม้าก่อนค่ะ "เม้าต้องทำหรอ หน้าผากสวยแล้วนะ" หลังจากเปิดไฟขาวเชคอีกครั้งเม้าก็บอกหมอแค่ว่า "เม้าไม่เอานูนนะ เอาเติมเต็มพอ" แล้วหมอก็ถึงบางอ้อค่ะหมอบอกว่า"ดูตาเปล่าโดยรวมไม่รู้เลยว่าเม้าต้องทำแต่พอมาตั้งใจดูจริงๆ ก็รู้แล้ว เห็นปัญหาเม้าคือ หน้าผากนูนดีแล้ว แต่มีส่วนที่ไม่เต็ม และสามารถเติมได้เยอะเลยค่ะ รวมถึงขมับด้วย" เพราะงั้นรอจัดเลยค่ะ เม้าก็นอนเกร็งต่อ หมอบอก เดี๋ยวจะเห็นเลยหลังทำว่าหน้าผากเต็ม จะดูเด็กขึ้นอีกเยอะเลยไม่ให้นูน
{พอดีแฟนไปส่งค่ะ เค้าเขม่นว่า ถ้าหน้าเปลี่ยนมีเรื่อง ถ้านูนกว่าเดิม มีเรื่อง เราก็รับปาก}
หมอเริ่มฉีดยาชา ที่ขมับข้างละจุดค่ะ (ค. รู้สึกจิ้ดๆ ได้ยินเสียงยาเข้าไปไม่ค่อยเจ็บ)
ถึงไฮไลท์ที่อยากกรีดร้องจุดพีคของงานค่ะสอดยาชาเข้าใต้ผิวหนังที่หน้าผาก2ข้างกรีดร้องเบาๆ มันไม่ใช่ความรู้สึกที่เจ็บนะคะแต่เป็นความรู้สึกที่แปลก ไม่ชิน และเสียวๆ เจ็บนิดหน่อยแปปนึง มันดังกึกๆ แต่สำหรับบางคนอาจจะไม่เจ็บนะคะ แต่แปปเดียวไม่เจ็บอะไรมาก แต่รู้สึกไม่ดีเลย ขั้นตอนหลังจากนี้ไม่เจ็บละค่ะ ไม่รู้สึกแล้วจะเกร็งอย่างเดียว หมอจะเริ่มสอดเข็มเข้าใต้ผิวที่หน้าผากบริเวณที่จะเติมเต็ม รู้สึกแค่มีอะไรสอดไปใต้ผิวแต่ไม่รู้สึกเจ็บค่ะ ทำไปแบบนี้เรื่อยๆ จะมารู้สึกอีกทีตอน เติมเต็มบริเวณ "ขมับ" จะรู้สึกว่ามีน้ำยาเข้าไป จะปวดบริเวณขมับนิดๆ ค่ะ ลืมบอกว่า ยาชาที่หน้าผากอาจจะทำให้รู้สึกชาทั่วบริเวณนั้นนะคะ ถึงหัวเลย
มาดูหลังทำค่ะ อาจจะไม่มีรูปประกอบชัดเจนนะคะนะคะ จากรูปด้านบน เพราะ "ดูด้านข้างอาจจะเหมือนเดิม"(ของเม้าฉีดเติมเต็มค่ะ)ไม่ได้ฉีดนูน(ถ้าฉีดนูนจะเห็นชัดกว่าค่ะ)แต่ถ้ามองหน้าตรงมองจากกระจกเห็นชัดมากว่าหน้าผากเต็มขมับเต็มมันจะดูเต็มขึ้นลองสังเกตค่ะคือปลื้มและฟินมาก จะไม่เห็นว่า เปลี่ยนแปลง แต่เราจะรู้ตัวเองว่า เปลี่ยนค่ะ ถ่ายรูปจะไม่ค่อยเห็น เอาง่ายๆ คือหน้าเราจะเต็มขึ้น ดูดีขึ้นโดยที่ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลง แฟนเม้าเองเงียบค่ะไม่บ่นสักแอะตามที่ตกลงกัน ไอ่เราก็ฟินมาก ประสบการณ์ครั้งนี้ เริ่มหายเกร็ง ปวดหัวตึบๆ แต่ชามาก จับหัวก็ไม่รู้สึก แต่เดี๋ยวอาการพวกนี้จะหายไปค่ะ ไม่ต้องกังวล (ยาชาเม้าอยู่ประมาณ 2-3 ชม. แล้วหายไปค่ะ คืนแรกอาจจะปวดหัวนิดๆ ตึงๆ พอตื่นมาไม่ปวดแล้วค่ะ)
ผลลัพธ์ที่ได้ เกินกว่าที่คาดหวังค่ะ ความตื่นเต้นก็เกินกว่าที่คาดหวัง เปรมมากกับผลที่ได้ หลังทำเราจะได้ยา3 อย่างค่ะ (แก้อักเสบ แก้ปวด แก้บวม) หลังทำสัก 2-3 วันเราต้องดูแลบริเวณที่เข็มจิ้มเป็นพิเศษนะคะ หากล้างหน้าต้องรีบซับบริเวณรอยเข็ม เพื่อเลี่ยงการติดเชื้อหรืออักเสบค่ะส่วนอาหาร เม้าทานปกติค่ะ นอกจากแอลกอฮอล์ น่าจะต้องเลี่ยงสัก 4-5 วัน ถ้าดีก็1 สัปดาห์เลยค่ะ อาการปวดไม่มีแล้วนะคะ หลังจากตื่นมาอีกวัน แต่จะ ตึงๆ นิดหน่อย จะรู้สึกแปลกสักพัก หลังจากนั้นจะไม่รู้สึกอะไร ค่ะไม่ต้องห่วง เหมือนปกติเลย ของเม้าไม่มีอาการช้ำหรือบวมนะคะ** แต่ละเคสไม่เหมือนกันค่ะ บางคนช้ำง่ายอาจจะมีรอยช้ำที่เข็มจิ้มเล็กน้อยค่ะ แต่โดยส่วนมากจะไม่มีค่ะ , แล้วที่อยากจะบอกเพิ่มเติมคือที่หัวจากการฉีดยาชาเข้าไปจะตึงๆแปลกๆไปประมาน 2-3 วันนะคะแล้วแต่คน แต่เม้าซ์จะรูัสึกแปลกๆไป 3-4 วันนะคะถ้าจำไม่ผิดแต่ไม่ปวดค่ะ
มาดูสิ่งที่เพื่อนๆอาจจะกังวลหลังทำค่ะ
จะแข็งไหม ? ฟิลตัวนี้เป็นฟิลที่ใช้ฉีดตรงนี้เฉพาะและเป็นยี่ห้อสากลค่ะไม่แข็งแน่นอนไม่ต้องห่วงและจะนิ่มธรรมชาติมากค่ะ
เมื่อเริ่มสลายจะทำให้หน้าผากเป็นคลื่นไหม ? อาการนี้จะพบได้หากใช้ฟิลเลอร์ที่่เกรดต่ำหรือไม่ได้คุณภาพค่ะ สามารถเป็นคลื่นได้ แต่สำหรับยี่ห้อฟิลที่เม้าซ์ใช้นี้ ไม่มีคลื่นแน่นอนค่ะเมื่อมันเริ่มสลาย นิสัยของเพอเฟคต้ามันจะสลายของมันไปเรื่อยๆ ยุบลงเรื่อยๆไม่เป็นคลื่นค่ะ
เมื่อเริ่มสลายจะทำให้หน้าผากเป็นคลื่นไหม ? อาการนี้จะพบได้หากใช้ฟิลเลอร์ที่่เกรดต่ำหรือไม่ได้คุณภาพค่ะ สามารถเป็นคลื่นได้ แต่สำหรับยี่ห้อฟิลที่เม้าซ์ใช้นี้ ไม่มีคลื่นแน่นอนค่ะเมื่อมันเริ่มสลาย นิสัยของเพอเฟคต้ามันจะสลายของมันไปเรื่อยๆ ยุบลงเรื่อยๆไม่เป็นคลื่นค่ะ
สรุป โปรแกรมนี้ การฉีดฟิลหน้าผากของเม้าน่าจะตอบโจทย์ของหลายๆคนที่มีปัญหาได้เอามาแชร์ละน้าคะและอยากบอกว่า "มันไม่ธรรมดาเลย" ต้องทำกับหมอเชี่ยวชาญมากๆ เพราะที่เราเห็นข่าวว่า ตาบอด ไหลเข้าตานั่นเพราะเกิดจากไม่ใช่ฟิลเลอร์สำหรับบริเวณนี้ และเพราะหมอไม่ชำนาญค่ะเม้าถึงเข้าใจว่าทำไมต้องทำกับหมอจักษุโดยเฉพาะถึงจะดี เพราะบริเวณหน้าผากความเสี่ยงเยอะมากต้องใช้แพทย์ที่ชำนาญเรื่องอนาโตมีเรื่องรอบดวงตาอย่างดีรวมถึงบางคนที่ไปฉีดมาแต่เป็นก้อนๆ แข็งๆไม่ธรรมชาติก็มีเยอะค่ะจะแก้ไขทีก็ลำบากเสียเงินเยอะในเมื่อเราอยากจะดูดีขึ้นเราต้องศึกษาให้รู้แจ้งและตัดสินใจให้ดีก่อนทำค่ะ
Surgery Consult Line @arindada.k (มี@นะคะ)
ᵀᴱᴸ 0946012494 (รบกวนโทรก่อน1ทุ่มนะคะ)
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบอยากสอบถามข้อมูลสามารถติดต่อได้ทางไหนคะ
ตอบลบ